OKR vs KPI ต่างกันอย่างไร? เครื่องมือไหนตอบโจทย์องค์กรคุณ

ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขัน การวัดผลการทำงานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อกำหนดทิศทางองค์กร คุณอาจเคยได้ยินคำว่า OKR vs KPI ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดผลที่ได้รับความนิยม แต่รู้หรือไม่ว่าทั้งสองอย่างมีความแตกต่างและใช้งานได้ในสถานการณ์ที่ต่างกัน บทความนี้จะเจาะลึกว่า OKR vs KPI คืออะไร และจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเครื่องมือใดที่เหมาะกับองค์กรของคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความเติบโตที่ยั่งยืน
Key takeaway
- OKR เน้นการตั้งเป้าหมายที่ ท้าทาย (Aspirational) และมุ่งเน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด มักใช้ในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ หรือเรื่องที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง
- KPI เน้นการวัดผล ประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational) ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว เพื่อรักษามาตรฐานและตรวจสอบว่างานประจำวันเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
- OKR vs KPI ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถ ใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย OKR คือตัวกำหนดทิศทางใหม่ ๆ และ KPI คือตัวติดตามสุขภาพของธุรกิจ

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีเครื่องมือวัดผลที่แม่นยำจะช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างถูกทิศทาง คำว่า OKR vs KPI มักถูกนำมาเปรียบเทียบกันบ่อยครั้ง เพราะต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลการทำงาน เพื่อให้เข้าใจว่า OKR และ KPI ทั้งสองอย่างมีความหมายแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจในแต่ละเครื่องมืออย่างละเอียด
OKR คืออะไร?
OKR หรือ Objectives and Key Results คือระบบการบริหารที่มุ่งเน้นการตั้งเป้าหมายและการติดตามผลสำหรับเรื่องที่สำคัญเท่านั้น สิ่งที่โดดเด่นของ OKR คือการขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจภายในเป็นหลัก เป้าหมายสูงสุดของ OKR คือการเพิ่มแรงจูงใจภายในของพนักงาน และทำให้พวกเขามีความสุขกับการทำงานมากขึ้น
- Objectives (O) - วัตถุประสงค์หลักที่เป็นตัวกำหนดจุดมุ่งหมายขององค์กรหรือหน่วยงาน
- Key Results (KRs) - ผลลัพธ์หลักที่สามารถวัดผลได้ ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าเราบรรลุวัตถุประสงค์นั้นได้อย่างไร
โดยทั่วไปแล้ว OKR จะถูกนำไปใช้กับปัญหาที่ใหญ่และท้าทาย โดยจะใช้เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น เพราะถ้าทุกอย่างสำคัญหมดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ OKR
KPI คืออะไร
KPI ย่อมาจาก Key Performance Indicator ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่ใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว การตั้งเป้าหมายด้วย KPI มักจะมาจากผู้บริหารในลักษณะ Top-Down และจะเน้นการวัดผลเพื่อประสิทธิภาพการดำเนินงานเป็นหลัก
โดยทั่วไปแล้ว KPI มักจะเชื่อมโยงกับแรงจูงใจภายนอก เช่น การขึ้นเงินเดือนหรือโบนัส ซึ่งอาจทำให้พนักงานมุ่งเน้นไปที่การทำตามเป้าหมายเพื่อผลตอบแทนเท่านั้น
การทำความเข้าใจความหมายและวัตถุประสงค์ของทั้งสองเครื่องมือนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ก่อนจะนำไปใช้ในการบริหาร Performance Management คือ อย่างมีประสิทธิภาพในองค์กรของคุณ
เมื่อทราบความหมายของแต่ละเครื่องมือแล้ว หลายคนยังคงสงสัยว่า OKR vs KPI คือเครื่องมือเดียวกันหรือไม่ หรือ KPI vs OKR คืออะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คำตอบคือแม้จะใช้ในการวัดผลเหมือนกัน แต่ทั้งสองก็มีวัตถุประสงค์และวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ลองมาดู 5 ข้อเปรียบเทียบหลักที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพความต่างระหว่าง OKR vs KPI ได้อย่างชัดเจน
วัตถุประสงค์การใช้งาน
- OKR มีไว้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ที่สำคัญต่ออนาคตขององค์กร มักจะถามว่า "เราจะไปถึงจุดที่เราไม่เคยไปได้อย่างไร?"
- KPI มีไว้เพื่อวัดผลว่าสิ่งที่ทำอยู่มีประสิทธิภาพเพียงใด มักจะถามว่า "เราทำสิ่งที่ต้องทำได้ดีแค่ไหน?"
การกำหนดเป้าหมาย
OKR มักจะถูกกำหนดจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up) หรือมีการร่วมมือกันระหว่างทีมและผู้บริหาร เพื่อสร้างความผูกพัน (Commitment) และแรงจูงใจในการทำงาน ขณะที่ KPI ส่วนใหญ่มักจะถูกกำหนดจากบนลงล่าง (Top-Down) โดยผู้บริหารเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและมอบหมายให้พนักงานไปดำเนินการ
นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายใน OKR จะต้องท้าทายและเป็นไปในเชิงรุก (Aggressive) ในขณะที่การตั้งเป้าหมายด้วย KPI มักเป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง (Achievable) และต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของ Smart Goal
การตั้งเป้าหมาย
- OKR คือ เครื่องมือที่ยอมรับความล้มเหลวในการทำตามเป้าหมาย เพราะความตั้งใจคือการผลักดันขีดจำกัดเดิม ๆ
- KPI คือ เครื่องมือที่เน้นความสำเร็จตามตัวเลขที่กำหนดไว้ เพื่อให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
การได้รับผลตอบแทน
OKR ส่วนใหญ่มักจะไม่ถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับการขึ้นเงินเดือนหรือโบนัส เพื่อให้พนักงานกล้าตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยไม่มีความกดดันจากเรื่องผลตอบแทนภายนอก
ในขณะที่ KPI มักจะถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับผลตอบแทนภายนอก เช่น โบนัสประจำปี การประเมินผลงาน หรือการขึ้นเงินเดือน เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการดำเนินงานประจำวัน
ระยะเวลาการติดตามผล
OKR มักจะมีการติดตามผลในระยะสั้น เช่น รายไตรมาส (Quarterly) เพื่อให้องค์กรมีความคล่องตัวและสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว
KPI มักจะมีการติดตามผลในระยะยาว เช่น รายปี (Annually) หรือรายครึ่งปี เพื่อวัดผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ

หลายองค์กรเข้าใจผิดว่าต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว OKR vs KPI สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ "วัตถุประสงค์" ของสิ่งที่ต้องการวัดผลในขณะนั้น
แนวคิดในการบูรณาการ OKR vs KPI
- OKR เป็นตัวกำหนดทิศทาง, KPI เป็นตัววัดสุขภาพ: ให้ OKR คือ "เข็มทิศ" ชี้ไปสู่สิ่งที่องค์กรต้องการเปลี่ยนแปลงหรือเติบโตอย่างก้าวกระโดด และให้ KPI คือ "มาตรวัด" ของสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก
- ใช้ OKR ขับเคลื่อน KPI ที่ต่ำกว่าเกณฑ์: หาก KPI ตัวใดตัวหนึ่งอยู่ในระดับอันตรายหรือต่ำกว่ามาตรฐาน (เช่น อัตราความผิดพลาดสูง) คุณสามารถตั้ง OKR เพื่อแก้ปัญหานั้นโดยเฉพาะได้
๏ ตัวอย่าง KPI: อัตราความผิดพลาดในการผลิตไม่เกิน 2% (ปัจจุบัน 5%)
๏ OKR: ลดอัตราความผิดพลาดในการผลิตให้เหลือ 2% ภายในไตรมาสหน้า - ใช้ OKR ขยายผลลัพธ์ของ KPI: หาก KPI ของคุณดีอยู่แล้ว คุณสามารถตั้ง OKR ที่ท้าทายเพื่อผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ที่สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
- ให้ OKR นำหน้าเสมอ: สำหรับองค์กรที่ต้องการความคล่องตัวและนวัตกรรม ควรให้ OKR เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์สำคัญ ๆ ในแต่ละไตรมาส
การใช้ OKR vs KPI ร่วมกันทำให้องค์กรมีมุมมองที่สมดุล ทั้งในด้านการรักษามาตรฐาน (KPI) และการสร้างสรรค์นวัตกรรม (OKR) เพื่อสร้างการเติบโตใหม่ ๆ นี่คือตัวอย่างการใช้งานจริงในทีม Marketing
ตัวอย่าง OKR (มุ่งเน้นการเติบโต)
- Objective: สร้างการรับรู้และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ในภาคอีสาน
- Key Result 1: เพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์จากช่องทาง Organic Search ในกลุ่มลูกค้าภาคอีสานจาก 0 เป็น 10,000 ครั้งต่อเดือน
- Key Result 2: เพิ่มอัตราการลงทะเบียนทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จากพื้นที่ดังกล่าวจาก 0 เป็น 500 ราย
- Key Result 3: ทีมงาน Soft Skills คือ มีคะแนนความพึงพอใจด้านการทำงานร่วมกันสูงกว่า 90%
ตัวอย่าง KPI (มุ่งเน้นการดำเนินงานประจำ)
- KPI: อัตรา Click-Through Rate (CTR) ของแคมเปญโฆษณา Facebook อยู่ที่ ≥3%
- KPI: งบประมาณโฆษณาที่ใช้ต่อวันต้องไม่เกิน $\$$ 500
- KPI: เว็บไซต์มี Uptime ≥ 99.9%
- KPI: การทำงานของทีม HR ต้องรวดเร็วขึ้นด้วย
จะเห็นได้ว่า OKR มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ "เป็นไปไม่ได้" แต่ "ท้าทาย" และมีขอบเขตที่ชัดเจน ส่วน KPI คือ ตัวเลขที่ต้องรักษาไว้เพื่อคงประสิทธิภาพการดำเนินงานปัจจุบัน
OKR vs KPI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นเครื่องมือเสริมกันที่จำเป็นต่อความสำเร็จขององค์กรในยุคปัจจุบัน หากคุณต้องการวัดผลการทำงานประจำวันอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาเสถียรภาพ และต้องการตัวชี้วัดว่าคุณกำลังอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น KPI คือคำตอบของคุณ
แต่ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ผลักดันขีดจำกัดของทีม และสร้างแรงจูงใจภายในให้พนักงานกล้าตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย OKR คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการนำพาองค์กรไปสู่จุดที่เหนือกว่า
Disrupt เข้าใจดีว่าการนำเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ในองค์กรไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงมีหลักสูตรและโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรของคุณเข้าใจและนำ OKR และ KPI ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงาน เพื่อให้เกิดการวัดผลที่สอดคล้อง โปร่งใส และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน หากคุณต้องการยกระดับการบริหารผลงานขององค์กร หรือต้องการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ชัดเจน อย่าพลาดโปรแกรมการเรียนรู้ของเรา
สามารถปรึกษาหลักสูตรที่เหมาะกับองค์กรของคุณได้ที่
- Facebook: https://bit.ly/FBdisruptignite
- Line Official: https://bit.ly/disruptignite
- Email: all@disruptignite.com
