Productivity คืออะไร? เคล็ดลับเพิ่มผลิตภาพให้องค์กรทำงานดีขึ้น

Productivity หรือ “ผลิตภาพ” คือปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างผลลัพธ์ของบุคลากรและองค์กรผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงปริมาณงานที่ทำได้ในแต่ละวัน แต่ยังคำนึงถึงการพัฒนาวิธีการทำงานให้ตอบเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง
ในบริบทของการจัดการองค์กรยุคใหม่ การยกระดับ Productivity จึงกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อควบคู่ไปกับการวางเป้าหมายอย่างมีระบบและการสร้างองค์กรที่เอื้อต่อประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน
บทความนี้จะอธิบายถึงความหมายที่แท้จริงของ Productivity ความแตกต่างจากแนวคิดใกล้เคียง พร้อมแนวทางการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคล ทีม และองค์กร
Highlight
- Productivity คือการสร้างผลลัพธ์ให้ได้มากที่สุดจากทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งวัดจากผลลัพธ์ที่สร้างคุณค่า ไม่ใช่แค่ปริมาณงานที่เสร็จ
- ความแตกต่างของ Productivity (ผลิตภาพ) เน้นที่การสร้างผลลัพธ์มากขึ้นจากทรัพยากรที่มีอยู่เท่าเดิม ในขณะที่ Efficiency (ประสิทธิภาพ) เน้นการ ใช้ทรัพยากรให้น้อยลงเพื่อคงคุณภาพเดิม
- องค์ประกอบหลักของ Productivity ที่ดีในองค์กรต้องอาศัยการจัดการ "ระบบโดยรวม" ทั้งกระบวนการทำงานที่ชัดเจน วัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ และการดูแลสุขภาวะที่ดีของพนักงาน
- ข้อควรระวังในการดำเนินการเพิ่ม Productivity อย่างยั่งยืนต้องหลีกเลี่ยงการวัดผลที่ผิดพลาด การกดดันพนักงานมากเกินไป และการเน้นผลลัพธ์ระยะสั้นที่ทำลายศักยภาพในระยะยาว
Productivity หมายถึง ความสามารถในการสร้างผลลัพธ์ให้ได้มากที่สุดจากทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรเวลา ทรัพยากรแรงงาน หรือวัตถุดิบต่าง ๆ ซึ่งแนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทของการบริหารจัดการธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายขององค์กรคือการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาษาไทย Productivity แปลว่า “ผลิตภาพ” ซึ่งหมายถึงระดับของ ผลผลิต ที่สามารถสร้างได้ต่อหน่วยทรัพยากร เช่น พนักงานหนึ่งคนสามารถผลิตสินค้าได้กี่ชิ้นในหนึ่งวัน หรือหน่วยงานหนึ่งสามารถให้บริการลูกค้าได้กี่รายในหนึ่งสัปดาห์
ตัวอย่างการวัด Productivity ในภาคการผลิด อาจวัดได้โดยใช้สูตรคํานวณ Productivity การผลิต เช่น “Productivity = ปริมาณผลผลิต / ปริมาณทรัพยากรที่ใช้” ตัวอย่างเช่น หากพนักงานใช้เวลา 8 ชั่วโมงผลิตสินค้าได้ 40 ชิ้น Productivity จะเท่ากับ 5 ชิ้นต่อชั่วโมง
ดังนั้น Productivity ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการวัดผลเท่านั้น แต่คือการเริ่มต้นมองงานทุกชิ้นผ่านมุมมองของ คุณค่า และ ผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ปริมาณที่เสร็จในแต่ละวัน
ผลิตภาพ (Productivity) และ ประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นคำที่ถูกใช้ควบคู่กันบ่อยครั้ง แต่ทั้งสองคำนี้มีความหมายและบทบาทที่ต่างกันชัดเจนในการบริหารจัดการองค์กร หากเข้าใจผิด อาจทำให้ทีมโฟกัสผิดจุด และวัดความสำเร็จคลาดเคลื่อนได้
ประสิทธิภาพ (Efficiency) คืออะไร?
Efficiency คือความสามารถในการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง โดยยังคงคุณภาพหรือผลลัพธ์ไว้เท่าเดิม เช่น การลดเวลาในการผลิตหนึ่งชิ้นจาก 10 นาที เหลือเพียง 7 นาที โดยไม่กระทบคุณภาพสินค้า หรือการลดต้นทุนของกระบวนการบริการโดยไม่ลดระดับความพึงพอใจของลูกค้า
Efficiency จึงมักเกี่ยวข้องกับ การทำสิ่งเดิมให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดขึ้น “แต่อาจไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเสมอไป”
ผลิตภาพ (Productivity) คืออะไร?
Productivity คือความสามารถในการสร้าง “ผลลัพธ์มากขึ้น” จากทรัพยากรที่มีอยู่เท่าเดิม หรือแม้กระทั่งน้อยลง เช่น การที่ทีมขายสามารถปิดดีลเพิ่มขึ้น 25% โดยใช้ทรัพยากรคนเท่าเดิม หรือการเพิ่มยอดผลิตต่อวันโดยไม่เพิ่มชั่วโมงการทำงาน
Productivity จึงเกี่ยวข้องกับ การสร้างผลลัพธ์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ลดต้นทุนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของการเพิ่มผลิตภาพและการเพิ่มผลผลิต ที่หลายองค์กรนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage)
ยกตัวอย่างกรณีศึกษาเพื่อเปรียบเทียบ Efficiency และ Productivity ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
1. การเพิ่ม Efficiency:
ฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัท A มีเป้าหมายลดเวลาในการตอบคำถามลูกค้า จากเฉลี่ย 8 นาทีต่อเคส เหลือ 5 นาทีต่อเคส โดยไม่ลดคุณภาพคำตอบ ทีมได้นำระบบ chatbot เข้ามาใช้กรองคำถามเบื้องต้น และปรับเทมเพลตการสื่อสารให้ตรงจุด
ผลลัพธ์:
- ลูกค้าได้รับบริการเร็วขึ้น ทีมตอบคำถามได้มากขึ้นในเวลาน้อยลง (Efficiency เพิ่มขึ้น)
- แต่จำนวนเคสที่ “ปิดการขายได้” หรือความพึงพอใจลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก → Productivity ยังไม่เปลี่ยนแปลง
2. การเพิ่ม Productivity:
ฝ่ายการขายของบริษัทเดียวกันใช้ข้อมูลลูกค้าเก่าและระบบ CRM วิเคราะห์ว่า กลุ่มลูกค้าแบบใดมีแนวโน้มปิดการขายได้เร็วที่สุด และปรับกลยุทธ์ให้พนักงานขายโฟกัสลูกค้ากลุ่มนั้นเป็นหลัก
ผลลัพธ์:
- ทีมขายสามารถปิดยอดขายได้เพิ่มขึ้น 30% โดยใช้เวลาทำงานเท่าเดิม (Productivity เพิ่มขึ้น)
- แม้ว่าจำนวนการโทรหาลูกค้าจะลดลง แต่คุณภาพของแต่ละ Lead ดีกว่าเดิมมาก (Efficiency ไม่ได้เพิ่มขึ้นชัดเจน แต่ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม)

ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว Productivity จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการบริหาร “ภายในองค์กร” เท่านั้น แต่คือ “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” ที่สะท้อนศักยภาพการเติบโตอย่างแท้จริง
การที่องค์กรสามารถสร้างผลลัพธ์ได้มากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนหรือทรัพยากรเท่ากับเป็นการเพิ่ม “อัตราเร่ง” ในการแข่งขันและลด “ต้นทุนแฝง” ที่มองไม่เห็น เช่น เวลาสูญเปล่า การทำงานซ้ำซ้อนหรือการบริหารคนที่ไม่ตรงศักยภาพ
โดยสรุปคือ Productivity ไม่ใช่แค่เรื่องของคนทำงานให้เร็วขึ้น แต่คือความสามารถขององค์กรในการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
การพัฒนา Productivity ในองค์กรไม่ใช่เรื่องของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่คือระบบโดยรวมที่หล่อหลอมให้ทุกคนสามารถ “สร้างผลลัพธ์” ได้อย่างเต็มศักยภาพ องค์กรที่มีผลิตภาพสูงมักมีองค์ประกอบบางอย่างร่วมกันที่สามารถออกแบบได้
ด้านล่างนี้คือปัจจัยสำคัญที่องค์กรสามารถปรับปรุงและส่งเสริมได้ เพื่อยกระดับ Productivity ให้เกิดผลลัพธ์ในระดับที่ยั่งยืนให้กับองค์กรได้
กระบวนการทำงานที่ชัดเจน ยืดหยุ่น ลดการซ้ำซ้อนของงาน
ระบบการทำงานที่ดีช่วยให้ทีมไม่ต้องเสียเวลาคิดซ้ำซ้อนหรือติดอยู่กับข้อจำกัดเดิม ๆ
การออกแบบ workflow ที่มีจุดตรวจสอบคุณภาพ การลดงานซ้ำซ้อน และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการทำงาน จะช่วยให้พนักงานโฟกัสกับ “สิ่งที่สำคัญที่สุด” และสร้างผลงานได้ตรงเป้าหมาย
สภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท
สภาพแวดล้อมมีผลอย่างมากต่อจังหวะการคิดและความสามารถในการโฟกัส ดังนั้นการออกแบบพื้นที่ทำงานให้เหมาะกับการทำงานจริง เช่น พื้นที่เงียบสำหรับงานวิเคราะห์หรือพื้นที่เปิดสำหรับการระดมไอเดียงานสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วัฒนธรรมการทำงานที่ส่งเสริมให้พนักงานกล้าคิดอะไรใหม่ ๆ
วัฒนธรรมองค์กร ที่ดีควรส่งเสริมความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการเรียนรู้ร่วมกัน โดยองค์กรที่ให้คุณค่ากับความร่วมมือมากกว่าการแบ่งลำดับชั้น (Hierarchy) มักสร้าง Productivity ได้เร็วกว่า เพราะพนักงานกล้าคิด กล้าทำ และกล้ายกระดับงานของตนเอง โดยการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และการเปิดพื้นที่ให้ feedback อย่างสร้างสรรค์คือหัวใจของวัฒนธรรมแบบนี้
สุขภาวะที่ดีของพนักงานสำคัญไม่แพ้พลังทางกาย
การสร้างผลิตภาพที่ยั่งยืนเริ่มต้นจากพนักงานที่มีทั้ง “พลังงานทางกาย” และ “ความพร้อมทางใจ” องค์กรที่ใส่ใจสภาพจิตใจของพนักงาน สนับสนุนการทำงานแบบมีสมดุล และไม่ละเลยเรื่องการพักผ่อน มักได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว
Productivity ที่ดีในองค์กรเกิดจากการจัดการ “ระบบโดยรวม” ไม่ใช่แค่การเร่งผลิตของคนใดคนหนึ่ง องค์กรที่สามารถออกแบบทั้งเป้าหมาย วัฒนธรรม และกระบวนการได้อย่างสมดุล จะเป็นองค์กรที่พร้อมแข่งขัน และเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
การยกระดับ Productivity ไม่ใช่เรื่องของการเร่งให้ทีมทำงานหนักขึ้น แต่คือการจัดระบบให้ทีม “ทำสิ่งสำคัญได้มากขึ้น ด้วยทรัพยากรเท่าเดิม” องค์กรที่เข้าใจหลักการนี้มักจะมีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับปรุงทั้งคน ระบบ และวัฒนธรรมการทำงาน
1. วิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการทำงาน
จุดเริ่มต้นของการเพิ่ม Productivity คือ การทบทวนกระบวนการทำงาน ที่มีอยู่ วิเคราะห์ว่างานไหนเป็น “คอขวด” หรือกิจกรรมไหนทำให้เสียเวลาโดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ จากนั้นจึงออกแบบกระบวนการใหม่ให้กระชับ ชัดเจน และลดความซ้ำซ้อนลง
องค์กรสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น ระบบ workflow management หรือ AI ที่ช่วยลดภาระงานซ้ำ เพื่อให้ทีมมีเวลามากขึ้นในการสร้าง “คุณค่า” ไม่ใช่แค่ “งาน”
2. สร้างวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์
การสร้าง วัฒนธรรมองค์กร ที่เน้นความไว้วางใจ การสื่อสารอย่างโปร่งใส และการยอมรับ feedback คือหัวใจสำคัญในการสร้าง Productivity ที่ยั่งยืน ทำให้ทีมกล้าเสนอไอเดียใหม่ ๆ และทำงานเชิงรุกมากขึ้น เมื่อรู้ว่าผลงานของตนมีความหมาย
วัฒนธรรมที่ดีไม่ต้องมาจากนโยบายใหญ่เสมอไป แต่อาจเริ่มจากพฤติกรรมของผู้นำที่ให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์” มากกว่าการควบคุม “กระบวนการ”
3. ทำให้พนักงานรู้สึกถึง “ความเป็นเจ้าของ” (Ownership)
องค์กรที่มีพนักงานรู้สึก “เป็นเจ้าของงาน” มักจะมี Productivity สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างเห็นได้ชัดเพราะพนักงานจะไม่ทำแค่งานที่ได้รับมอบหมายแต่จะคิดถึงผลกระทบในวงกว้าง และใส่ใจต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในเชิงธุรกิจ โดยการสร้าง sense of ownership เริ่มจากการให้ทีมมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมาย ร่วมออกแบบวิธีการทำงาน และมอบอิสระในการตัดสินใจภายใต้ความรับผิดชอบที่ชัดเจน
4. สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีกับพนักงานทุกคน
บรรยากาศที่เหมาะสมช่วยให้พนักงานโฟกัสงานได้ดีขึ้น และลดความเครียดโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดพื้นที่ทำงานให้โปร่ง สงบ หรือมีมุมสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการประชุมหรือคิดเชิงกลยุทธ์ โดยองค์กรสามารถลงทุนในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อ “พลังงานในการทำงาน” ได้ เช่น โซนพักสายตา โซน collaboration หรือการจัดแสงและเสียงที่ไม่รบกวนสมาธิ

5. ดูแลทั้งสุขภาพกายและใจของพนักงาน
Productivity ที่ยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้หากพนักงานขาดพลังงานหรือสภาพจิตใจที่พร้อม องค์กรจึงควรให้ความสำคัญกับ สุขภาวะของบุคลากร ผ่านโครงการดูแลสุขภาพ การจัดกิจกรรมผ่อนคลาย หรือการให้เวลาพักที่เพียงพอ โดยองค์กรที่มีนโยบาย Work-life Balance ที่จริงจัง ไม่เพียงแต่สร้างผลิตภาพที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลให้ retention rate สูงขึ้นในระยะยาว
6. ฝึกอบรม เสริมความรู้การทำงานที่ส่งเสริมทักษะในการเพิ่ม Productivity
การฝึกอบรมไม่ได้เป็นเพียง “กิจกรรมประจำปี” แต่คือการลงทุนเพื่อยกระดับ ผลลัพธ์ของทั้งบุคลากรและองค์กรในระยะยาว โดยเฉพาะการส่งเสริมทักษะที่เกี่ยวข้องกับ Productivity เช่น การจัดการเวลา การคิดเชิงระบบ หรือการตั้ง SMART Goal ให้ได้ผลจริง
องค์กรควรเริ่มจากการวางแผน Training Roadmap ในการพัฒนาทักษะและความรู้สำหรับพัฒนา โดยการส่งพนักงานเข้าร่วม หลักสูตรผู้บริหาร หรือโปรแกรมพัฒนาเฉพาะทางก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้าง “ทีมที่พร้อมขับเคลื่อนงานอย่างมีคุณภาพ”
7. การวางเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลลัพธ์ได้
เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน คือศัตรูตัวร้ายของ Productivity เพราะหากทีมไม่รู้ว่าความสำเร็จคืออะไร ก็ไม่สามารถบริหารเวลาและทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า การใช้แนวทางตั้งเป้าแบบ SMART Goal ช่วยให้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้อง “ไปที่ไหน วัดอย่างไร และเมื่อไหร่ถึงจะสำเร็จ” ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดลำดับความสำคัญและสร้างแรงจูงใจที่ชัดเจน
8. ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการจัดการงาน
ในยุคที่เครื่องมือดิจิทัลหลากหลาย การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ “สอดคล้องกับกระบวนการทำงาน” มีผลต่อ Productivity อย่างมาก เช่นการใช้ระบบจัดการงานแบบ Real-time, Dashboard วิเคราะห์ผลลัพธ์, หรือแม้แต่ AI ที่ช่วยจัดการข้อมูลหลังบ้าน สิ่งสำคัญคือต้อง “เลือกใช้ให้เหมาะ” ไม่ใช่ “ใช้เพราะมี” และต้องมีการอบรมให้ทีมสามารถใช้งานได้จริง ไม่สร้างภาระเพิ่ม
แม้แนวคิดเรื่อง Productivity จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มผลลัพธ์และขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร แต่การนำไปใช้โดยขาดการวางแผนที่รอบด้าน อาจกลับกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่สร้างผลกระทบเชิงลบ ทั้งต่อบุคลากร ระบบงาน และวัฒนธรรมโดยรวม โดยการทำความเข้าใจข้อควรระวังเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ไปกว่าการรู้วิธีเพิ่ม Productivity ในองค์กร
ข้อควรระวังในการนำ Productivity ไปใช้มีมากมายเช่น การวัดผลลัพธ์ที่ผิด การกดดันพนักงานมากเกินไปจนกระทบสุขภาวะ การมุ่งเน้นผลลัพธ์ระยะสั้นจนทำลายศักยภาพระยะยาว การละเลยการมีส่วนร่วมของทีม การเลือกใช้เครื่องมือที่ผิดจนกลายเป็นภาระ เป็นต้น
การเพิ่ม Productivity ต้องมีทั้ง “เป้าหมายที่ชัดเจน” และ “ความเข้าใจในธรรมชาติของคน” ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ควรช่วยให้องค์กรเติบโต อาจกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาที่มองไม่เห็น
Productivity ไม่ใช่เพียงเรื่องของการทำงานให้เร็วขึ้นหรือได้ผลลัพธ์มากขึ้น แต่คือกระบวนการยกระดับคุณค่าของการทำงานผ่าน ระบบ คน และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันอย่างมียุทธศาสตร์
องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภาพอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่สามารถแข่งขันได้ในระยะสั้น แต่ยังสร้างความแข็งแรงในระยะยาว ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การบริหารทีมอย่างมีเป้าหมาย และการส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
Disrupt Technology Venture เข้าใจดีว่าแต่ละองค์กรมีบริบทและความท้าทายที่ไม่เหมือนกัน เราจึงออกแบบ Corporate Program ที่ช่วยให้องค์กรสามารถเสริมสร้างทักษะใหม่ ๆ ให้พนักงานเพื่อเพิ่ม Productivity ได้อย่างเป็นระบบ พร้อมพัฒนาผู้นำและทีมงานให้มีความพร้อมรับมือกับโลกการทำงานยุคใหม่