การบริหารคนในองค์กรยุคใหม่ กลยุทธ์รักษาคนเก่งให้ได้งาน

October 1, 2025
Disrupt Team
การบริหารคน
การบริหารคน

ในโลกการทำงานยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าที่เคย การสร้างระบบการบริหารคนที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลคือความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ หากคุณกำลังมองหาคำตอบว่าการบริหารคนคืออะไรในมิติใหม่? จะออกแบบหลักบริหารคนที่ช่วยให้งานเดิน มีทีมที่แข็งแรง และพาองค์กรเติบโตได้อย่างไร? บทความนี้รวบรวมแนวคิดการบริหารคนภายในองค์กรที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่การพัฒนาผู้นำ การดูแลทีมไปจนถึงการรักษาคนเก่งในองค์กรให้ร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน

Highlight

  • การบริหารคนไม่ใช่แค่ดูแลทรัพยากรมนุษย์ แต่คือการขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร เป้าหมายทางธุรกิจจะไม่มีวันสำเร็จ หากไม่มีระบบบริหารคนที่สอดคล้องและเสริมกัน
  • เริ่มจากการเชื่อม “เป้าหมายองค์กร” กับ “เป้าหมายของคน” ผ่าน OKR ทุกคนต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำ เชื่อมโยงกับเป้าหมายใหญ่ขององค์กรอย่างไร
  • ขับเคลื่อนการบริหารคนด้วยข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก ใช้ People Analytics วิเคราะห์-คาดการณ์-ป้องกันปัญหาทรัพยากรบุคคลอย่างแม่นยำ

การบริหารคนในองค์กร กับการทำงานข้ามเจเนอเรชัน

การปรับระบบการบริหารจัดการคนให้รองรับแพลตฟอร์มดิจิทัล การทำงานทางไกล และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (People Analytics) คือกุญแจสำคัญขององค์กรยุคใหม่ วันนี้เครื่องมือ HR Tech, AI Matching Skill-to-Role และระบบ Performance Real-Time ช่วยผู้นำออกแบบ หลักการบริหารคนในองค์กรได้แม่นยำขึ้น ลดความลำเอียง เพิ่ม Productivity และเสริม Engagement ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หัวใจคือผู้นำจะต้องเข้าใจความหลากหลายของคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็น Gen Z, Gen Y, Senior Talent รวมถึง Gig Workforce หากการจัดการคนในองค์กรได้ดี โครงสร้างงานจะยืดหยุ่น ต้นทุนลดลง และมีทีมที่พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และจะยังคงรักษาทีมเวิร์คที่ดีเอาไว้ได้

10 เทคนิคการบริหารคนยุคใหม่ จากผู้นำสั่งการสู่โค้ชที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง

อยากบริหารคนให้ได้งาน ต้องเริ่มจากการเข้าใจ “คน” ก่อน “งาน” เทคนิคทั้ง 10 นี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้จัดการสายปฏิบัติการและผู้บริหารที่ต้องการแนวทางการบริหารคนที่ดีเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของทีม พร้อมช่วยการบริหารลูกน้องให้ลื่นไหลขึ้น

1. มอบหมายงานให้ตรงกับศักยภาพ

จุดเริ่มต้นของการบริหารคนที่ดีคือการเข้าใจศักยภาพของแต่ละคนอย่างแท้จริง หัวหน้าที่ดีต้องไม่เพียงมอบหมายงานตามตำแหน่ง แต่ต้องเลือก “โจทย์” ที่สอดคล้องกับจุดแข็งและแรงจูงใจของแต่ละคน

การใช้เครื่องมืออย่าง Strength-Based Assignment Matrix ช่วยให้เราเห็นภาพความถนัดของพนักงานแต่ละคนชัดเจนขึ้น เมื่อมอบหมายงานที่ “ท้าทายแต่ไม่เกินขีดจำกัด” พนักงานจะมีแรงขับในการทำงาน รู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจและกล้าพัฒนาไปอีกขั้น

2. เปิดรับ Feedback อย่างสร้างสรรค์

วัฒนธรรมองค์กรที่ดีต้องเปิดกว้างต่อ Feedback ไม่ใช่เพียง “ตำหนิ” หลังเกิดปัญหา แต่คือการให้ “Feedforward” เพื่อช่วยพนักงานสามารถพัฒนาตนเองต่อไปในอนาคต

คุณสามารถใช้ SBI Model (Situation – Behavior – Impact) ในการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ เช่น “เมื่อวานนี้ (S) คุณเลือกวิธีแก้ปัญหาแบบนี้ (B) ซึ่งส่งผลให้เกิดสิ่งนี้ตามมา (I)” สิ่งนี้ทำให้การสื่อสารไม่กระทบความสัมพันธ์ และยังเป็นการให้ข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อการเติบโต นอกจากนี้ยังช่วยให้พนักงานมี Growth Mindset ที่ดีในการทำงานด้วย

3. สร้างวัฒนธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวในทีม

วัฒนธรรมที่ชัดเจนคือเข็มทิศสำคัญของทีม หากคนในทีมมีค่านิยมที่แตกต่าง ย่อมเกิดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจ การสร้างวัฒนธรรมทีมต้องเริ่มจากการพูดคุยกันว่า “เราเชื่อในอะไร” และ “อะไรคือสิ่งที่เราจะไม่ยอมรับ”

เครื่องมืออย่าง Team Culture Canvas สามารถใช้ในการระดมความคิดกับทีมได้ดี เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นสิ่งที่ทีมร่วมกันกำหนด ทุกคนจะรู้สึกมีส่วนร่วมและพร้อมขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน

4. คอยให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ

การให้คำแนะนำแบบ “โค้ช” หมายถึงการไม่เร่งรีบให้คำตอบ แต่กระตุ้นให้พนักงานคิดด้วยตัวเอง ผู้นำสามารถใช้ GROW Model ในการตั้งคำถามอย่างมีโครงสร้าง เช่น

  • G: เป้าหมายของคุณคืออะไร?
  • R: ตอนนี้คุณอยู่จุดไหนแล้ว?
  • O: คุณมีทางเลือกอะไรบ้าง?
  • W: คุณจะเลือกทางไหน และจะลงมือเมื่อใด?

บทสนทนาแบบนี้ทำให้พนักงานพัฒนาทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ และเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง

5. เตรียมพร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง

ในยุคที่โลกธุรกิจขับเคลื่อนด้วย Disruption ความสามารถในการเปลี่ยนผ่าน (Change Capability) เป็นทักษะสำคัญของทีม ผู้บริหารควรประเมินระดับความพร้อมของแต่ละคนด้วย ADKAR Model ซึ่งประกอบด้วย

  • Awareness: ตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
  • Desire: ความเต็มใจที่จะเปลี่ยน
  • Knowledge: ความรู้ในการเปลี่ยน
  • Ability: ความสามารถในการลงมือทำ
  • Reinforcement: การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อรู้ว่าพนักงานอยู่ในขั้นตอนไหน ผู้นำก็สามารถออกแบบการสื่อสารและสนับสนุนให้เหมาะสม

6. เข้าใจความแตกต่างของคนในองค์กร

การบริหารทีมที่มีทั้ง Baby Boomers, Gen X, Gen Y และ Gen Z ต้องใช้แนวทางที่หลากหลาย ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับทุกคนได้ทั้งหมด

การนำแนวคิด Inclusive Leadership มาใช้ ช่วยให้ผู้นำสามารถจัดการความแตกต่างของเพศ วัย ประสบการณ์ หรือแม้แต่วิธีการคิดได้อย่างเคารพและสร้างสรรค์ เมื่อพนักงานรู้สึกว่า “ฉันเป็นตัวฉันในทีมนี้ได้” ผลงานก็จะเกิดจากใจ

7. รับผิดชอบต่อการกระทำและคำพูด

ผู้นำไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องกล้ายอมรับเมื่อทำผิด กล้าขอโทษเมื่อล้มเหลว และรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง

การสร้างวัฒนธรรมของAccountability จะทำให้ทีมกล้าตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และรู้ว่าทุกคนในทีมพร้อมรับผิดชอบทั้งผลสำเร็จและผลล้มเหลวไปด้วยกัน

8. พัฒนาศักยภาพพนักงานแบบไม่หยุดนิ่ง

การสร้างLearning Culture ในองค์กรคือการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกวัน ทั้งจากงานที่ทำจริง การอบรมภายใน หรือการแลกเปลี่ยนระหว่างทีม

การให้เวลา งบประมาณ และการยอมรับว่าการ “ลองผิด” คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ จะช่วยให้คนเก่งไม่หยุดพัฒนา และเลือกอยู่กับองค์กรที่ให้โอกาส

9. สานสัมพันธ์ระหว่างกันในทีม

ความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีมเป็นตัวคูณของผลลัพธ์ แม้งานจะยาก แต่ถ้าเรารู้สึกว่า “เราทำไปด้วยกัน” ความเหนื่อยจะน้อยลง ความทุ่มเทจะมากขึ้น

กิจกรรมอย่าง Weekly Coffee Talk, Team Bonding หรือการเปิดพื้นที่ให้พูดคุยแบบไม่เป็นทางการ จะช่วยสร้าง “ความสัมพันธ์เชิงความหมาย” ที่ทำให้ทีมเหนียวแน่น

10. รู้จักกล่าวชมเชยซึ่งกันและกัน

คำชมเล็ก ๆ ที่ออกมาจากใจในเวลาที่เหมาะสม มีพลังมากกว่ารางวัลใด ๆ การสื่อสารว่า “ฉันเห็นคุณทำสิ่งดี ๆ” เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

การสร้างระบบ Recognition ที่ต่อเนื่อง เช่น Peer-to-Peer Kudos, Leader Shout-out หรือ Employee of the Month ที่เน้นคุณค่ามากกว่าตำแหน่ง จะช่วยรักษาคนเก่งและสร้างพลังบวกในทีม

เป้าหมายชัด วางแผนแม่น ทำจริงได้ผล: Framework สำหรับการบริหารคนที่ต่อยอดกลยุทธ์ธุรกิจ

บริหารงานให้ได้ผลบริหารคนให้ได้งาน

ในหลายองค์กรที่มีทีมเก่ง คนเก่ง และเครื่องมือครบ แต่กลับไม่สามารถขับเคลื่อนผลลัพธ์ได้อย่างเต็มศักยภาพ สาเหตุสำคัญมักไม่ได้มาจากบุคลากรที่ขาดความสามารถ แต่อยู่ที่ “เป้าหมายไม่ชัดเจน” และ “ระบบการบริหารคน” ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของธุรกิจ

การบริหารคนในองค์กรจึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องของ HR ฝ่ายเดียว แต่ต้องถูกยกระดับให้เป็นระบบขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงเป้าหมายธุรกิจกับแผนพัฒนาคนอย่างมีโครงสร้าง

ด้านล่างนี้คือ Framework การบริหารคน 5 ขั้นตอน ที่องค์กรสามารถนำไปใช้จริงเพื่อให้ “เป้าหมายชัด วางแผนแม่น ทำจริงได้ผล” อย่างแท้จริง

1. เชื่อมเป้าหมายองค์กรกับเป้าหมายของคน (From Strategy to People)

จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการแตกเป้าหมายขององค์กร (เช่น Revenue, Expansion, Market Share) ให้อยู่ในรูปของ OKR (Objective & Key Results)แล้วเชื่อมโยงไปยังทีมและบุคคล

แนวทางปฏิบัติ

  • ให้แต่ละทีมตั้ง OKR ที่สนับสนุน OKR ใหญ่ขององค์กร
  • ทำให้พนักงานเข้าใจว่า “งานของเขา” เชื่อมกับผลลัพธ์องค์กรอย่างไร
  • ประชุม Alignment อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่ออัปเดตว่า OKR ยังเดินถูกทางหรือไม่

ผลลัพธ์: พนักงานเห็นคุณค่าของงานตนเอง และรู้ว่าตนคือ “ส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่”

2. วางแผนคนให้ตอบโจทย์เป้าหมาย: From Manpower to Talent Strategy

เมื่อเป้าหมายชัด การวางแผนกำลังคนต้องไม่ใช่แค่ “จำนวนคนที่ต้องการ” แต่ต้องดูว่า “ต้องการคนแบบไหน” จึงจะไปถึงเป้าหมายได้จริง

Framework ที่ใช้: Talent Mapping + Gap Analysis

แนวทางปฏิบัติ

  • แยกพนักงานออกเป็นกลุ่ม เช่น Top Talent, Core Talent, Risk Talent
  • วิเคราะห์ Gap ระหว่างศักยภาพปัจจุบันกับศักยภาพที่องค์กรต้องการ
  • วางแผน Upskill/Reskill ล่วงหน้า เช่น ถ้าอีก 6 เดือนต้องเปิดสาขาใหม่ ต้องเตรียมทีมไหนให้พร้อมบ้าง

ผลลัพธ์: องค์กรมี “แผนสำรองด้านคน” และไม่ต้องไล่ตามปัญหาทีหลัง

3. บริหารผลงานอย่างมีระบบ (From Performance Review to Performance Dialogue)

การประเมินผลงานไม่ควรเป็นเพียงเอกสารสิ้นปี แต่ควรเป็น “วงจรสนทนา” ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานเข้าใจเป้าหมาย ปรับตัวได้ไว และมีแรงจูงใจในการพัฒนา

Framework ที่ใช้: Check-in Performance System + Continuous Feedback

แนวทางปฏิบัติ

  • จัด One-on-One Check-in ทุก 2 สัปดาห์หรือรายเดือน
  • ใช้คำถามปลายเปิด เช่น “อะไรที่คุณภูมิใจ?” “มีอะไรที่คุณอยากทำให้ดีขึ้น?”
  • สร้างระบบให้เพื่อนร่วมงานสามารถให้ Feedback ข้ามสายงานได้

ผลลัพธ์: ทีมปรับตัวเร็วขึ้น พร้อมรับผิดชอบผลลัพธ์ร่วมกัน

4. สร้างแผนพัฒนารายบุคคล (From Training Program to Career Growth)

คนเก่งในองค์กรไม่ได้ลาออกเพราะ “เงินเดือน” อย่างเดียว แต่เพราะ “ไม่เห็นอนาคต” การบริหารคนที่ดีต้องมีแผนพัฒนาเฉพาะบุคคลที่สอดคล้องกับเส้นทางอาชีพ (Career Path)

Framework ที่ใช้: Individual Development Plan (IDP)

แนวทางปฏิบัติ

  • ให้หัวหน้าและพนักงานร่วมกันออกแบบ IDP ทุก 6 เดือน
  • วางเป้าหมายในรูปของ “ทักษะที่ต้องพัฒนา” และ “บทบาทใหม่ที่อยากเติบโตไปสู่”
  • ใช้ Learning Format ที่หลากหลาย เช่น Shadowing, Coaching, Project-based Learning ไม่จำกัดแค่การอบรม

ผลลัพธ์: พนักงานรู้สึกว่าองค์กรลงทุนในอนาคตของเขา และมีแรงใจที่จะอยู่ต่อ

5. ใช้ข้อมูลในการบริหารคน (From Feeling to People Analytics)

การบริหารคนที่ดีต้องไม่ใช่แค่ “ความรู้สึก” แต่ต้องมีข้อมูลเชิงพฤติกรรมมาสนับสนุน เช่น ข้อมูล Engagement, Retention, Productivity หรือ Pulse Survey

Framework ที่ใช้: People Analytics Dashboard

แนวทางปฏิบัติ

  • ตั้ง Key Metric ที่เกี่ยวข้องกับคน เช่น Turnover Rate, Internal Mobility Rate, eNPS
  • ทำ Employee Survey เป็นระยะ พร้อมมี Action Plan ตอบกลับอย่างจริงจัง
  • วิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ HR เช่น การเข้าอบรม การลาป่วย การเปลี่ยนตำแหน่ง แล้วหา Pattern ที่บ่งชี้ปัญหา

ผลลัพธ์: ผู้นำตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น ไม่ต้องรอ “รู้ตัวเมื่อสายเกินไป”

การบริหารคนยุคใหม่ ไม่ใช่แค่คุมงาน แต่ต้องรู้จักทริกขับเคลื่อนคน

ผู้นำยุคใหม่ไม่ได้มีหน้าที่แค่ควบคุมงาน แต่ต้องขับเคลื่อนคน เทคนิคเหล่านี้อาจดูเรียบง่าย แต่หากนำไปใช้ต่อเนื่องด้วยความตั้งใจ จะเปลี่ยนทีมธรรมดาให้กลายเป็นทีมทรงพลังที่พร้อมเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลง

และหากองค์กรของคุณกำลังมองหาแนวทางที่จับต้องได้เพื่อยกระดับการบริหารคน บทความนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

Update ความรู้จาก Disrupt ได้ที่ช่องทาง