Deep Listening คืออะไร? เข้าใจเทคนิคการฟังอย่างลึกซึ้ง

April 29, 2025
Disrupt Team
Deep Listening คือ
Deep Listening คือ

Deep Listening คือ แนวทางของการฟังอย่างลึกซึ้งที่เน้นการเปิดใจ เข้าอกเข้าใจ และเชื่อมโยงกับผู้พูด การฝึกฝนการฟังอย่างลึกซึ้ง จึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่จำเป็นต่อทุกคนที่ต้องการการเปิดใจ เข้าอกเข้าใจ และเชื่อมโยงกับผู้พูดอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน "หลักการฟังที่ดี" ที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน เพราะไม่ใช่แค่ฟังด้วยหู แต่ต้องฟังด้วยใจ เพื่อให้เกิดการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การสื่อสารที่สร้างความเข้าใจร่วมกัน 

เพราะไม่ใช่แค่การได้ยิน แต่คือการเข้าใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ในยุคที่ความเร่งรีบและเสียงรบกวนมากมาย การฝึกฟังอย่างมีคุณภาพจึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรเรียนรู้

Highlight

  • Deep Listening คือ การฟังอย่างลึกซึ้งด้วยใจ ไม่ใช่แค่หู เพื่อเข้าใจผู้พูดอย่างแท้จริง
  • เทคนิคการฟังแบบนี้ช่วยลดความขัดแย้ง เสริม Empathy และสร้างความร่วมมือในทีม
  • Deep Listening แตกต่างจากการฟังทั่วไป เพราะเน้นฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อตอบกลับหรือโต้แย้ง
  • Deep Listening เป็นทักษะสำคัญที่องค์กรยุคใหม่ควรฝึกฝน เพื่อยกระดับการสื่อสารและวัฒนธรรมองค์กร

การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) คืออะไร?

Deep Listening คือ แนวทางของการฟังอย่างลึกซึ้งที่มากกว่าการใช้หูฟังเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการใช้ใจ สติ และความเข้าอกเข้าใจในการรับฟังอีกฝ่าย เป็นการฟังที่เน้นความลึกซึ้งในอารมณ์ ความรู้สึก เจตนา และความหมายแฝงของคำพูด เพื่อให้เกิดความเข้าใจผู้พูดอย่างแท้จริง

การฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเข้าใจผิด และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของทีม การทำงาน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน

การนำแนวคิดนี้ไว้ในชีวิตประจำวันยังช่วยเสริมสร้างแนวคิดเชิงบวกและเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับแนวทางของ Growth Mindset ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย

Deep Listening ไม่เหมือนการฟังปกติอย่างไร?

การฟังอย่างลึกซึ้ง

Deep Listening คือ การฟังอย่างลึกซึ้งที่แตกต่างจากการฟังทั่วไปอย่างชัดเจน เพราะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแค่การได้ยินข้อมูล แต่คือการเชื่อมโยงทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และความหมายภายในของผู้พูดผ่านกระบวนการฟังแบบเต็มตัว โดยเฉพาะในระดับขององค์กร ข้อมูลจากหนังสือ Listening Deeply An Approach To Understanding And Consulting In Organizational Culture โดยHoward F. Stein เน้นว่า การฟังอย่างลึกซึ้งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ตัวเราเองเป็นเครื่องมือในการ “รู้สึก รับรู้ และตอบสนอง” ซึ่งต่างจากการฟังทั่วไปที่เน้นการวิเคราะห์หรือสรุปแบบผิวเผิน

ในมุมของ Stein ผู้ฟังต้องพร้อมที่จะเปิดใจให้กับสิ่งที่ยังไม่รู้ ต้องกล้ารับฟังแม้สิ่งที่อาจไม่สบายใจ การฟังแบบนี้ไม่ใช่เพียงการอยู่เงียบ ๆ แต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้อื่นกล้าถ่ายทอดเรื่องราว เป็นการแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้งจนบางครั้งทำให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเรียนรู้บางสิ่งใหม่จากเรื่องเดิม ๆ ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป

ในทางกลับกัน การฟังทั่วไปมักเป็นเพียงการเตรียมตัวเพื่อพูดโต้ตอบ เป็นกระบวนการแบบรีเฟล็กซ์ที่ไม่เปิดรับอารมณ์หรือความรู้สึกของอีกฝ่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือพลาดโอกาสในการเข้าใจเจตนาเบื้องหลังของผู้พูดอย่างแท้จริง

Stein ยังกล่าวอีกว่า การฟังอย่างลึกซึ้งเป็นการยอมรับว่าตัวเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ไม่ใช่เพียงผู้สังเกตการณ์ เราต้องฟังทั้งเสียงของผู้พูดและเสียงของตนเอง รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกัน สิ่งนี้คือความแตกต่างหลักระหว่าง Deep Listening กับการฟังทั่วไป เพราะการฟังลึกนั้นต้องใช้ความกล้า ความจริงใจ และการตระหนักรู้ในตนเองตลอดเวลา

ประโยชน์ของการฟังอย่างลึกซึ้งในบริบทขององค์กรและความสัมพันธ์

Deep Listening คือ พื้นฐานสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่แท้จริงในองค์กร ตามแนวคิดของ Howard F. Stein การฟังอย่างลึกซึ้งไม่เพียงเป็นวิธีการฟัง แต่เป็นการ "ใช้ตนเองเป็นเครื่องมือรับรู้" เพื่อเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และความหมายแฝงที่อยู่เบื้องหลังคำพูด โดยการฟังในลักษณะนี้จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เชื่อมโยงมนุษย์ในระดับที่ลึกกว่าการพูดคุยตามหน้าที่หรือบทบาท

ในทำนองเดียวกัน Robert E. Haskell กล่าวว่าการฟังอย่างลึกซึ้งช่วยให้เราเข้าถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนา หรือที่เขาเรียกว่า "Deep Talk" ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พูดเองอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนสื่อสารออกมาอย่างไร การฝึก Deep Listening จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสำรวจตนเอง และทำให้เรารู้เท่าทันทั้งบริบทและพฤติกรรมของกลุ่มในที่ทำงานอีกด้วย

ประโยชน์ของการฟังอย่างลึกซึ้งในองค์กร
การฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกภายในองค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์และการสื่อสาร

  • ช่วยให้ทีมเข้าใจความรู้สึกและเจตนาของกันและกันได้อย่างแท้จริง ลดโอกาสเกิดความขัดแย้งซ่อนเร้น
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) และเปิดรับความคิดเห็น
  • เสริมสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือภายในทีม
  • เพิ่มศักยภาพของผู้นำในการตัดสินใจ เพราะสามารถรับฟังทั้งเนื้อหาและอารมณ์ของทีมได้
  • ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างวัฒนธรรม เช่น การฟังเพื่อเปลี่ยนแปลงแนวคิดหรือความสัมพันธ์ระหว่างแผนก
  • ช่วยระบุปัญหาที่ซ่อนอยู่ในบทสนทนา เช่น ความเหนื่อยล้า ความเครียด หรือความไม่พึงพอใจในที่ทำงาน
  • เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ Coaching, Counseling หรือ Team Facilitation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การฟังอย่างลึกซึ้ง จึงไม่ใช่เพียงทักษะสำหรับคน HR หรือหัวหน้าเท่านั้น แต่เป็นทักษะที่ทุกคนในองค์กรสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ เพื่อยกระดับคุณภาพของการสื่อสารในทุกระดับ

ดูเพิ่มเติม: Ice Breaking

นอกจากนี้ การฟังอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงแค่ดีต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ยังมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในที่ทำงานด้วย

  • เพิ่มความเข้าใจกันในทีม ลดความขัดแย้ง
  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับฟัง
  • ช่วยให้ผู้นำเข้าใจความต้องการของทีมได้ดีขึ้น
  • ส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพิ่มทักษะ Empathy ในทีม

10 วิธีฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) เพื่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

เทคนิคการฟังอย่างลึกซึ้ง

Deep Listening คือ หนึ่งใน หลักการฟังที่ดีที่ไม่ได้เน้นเพียงแค่การได้ยิน แต่คือการรับฟังด้วยใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างการเชื่อมโยง ความเข้าใจ และความไว้วางใจในทุกระดับของความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในองค์กร การฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้เกิดการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในการสื่อสาร การทำงานร่วมกัน และการพัฒนา Soft Skills เช่น Empathy และ Leadership

การฟังอย่างลึกซึ้งเปรียบเสมือนการเคลื่อนย้ายตัวเราเข้าไปในโลกของอีกฝ่าย โดยไม่พยายามควบคุมหรือตีความทันที และการฟังในระดับลึกยังต้องใช้ความไวในการรับรู้ทั้งภาษาคำพูดและภาษาที่ไม่เป็นคำพูด เช่น น้ำเสียง เว้นวรรค หรือความเงียบ

เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณค่อย ๆ พัฒนาการฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญทั้งการตั้งใจฟังอย่างมีสติ ไม่ตัดสิน และการเปิดใจรับสิ่งใหม่ เพื่อให้การฟังกลายเป็นพลังแห่งความเข้าใจ

ปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อม

เริ่มต้น Deep Listening ด้วยการเตรียมใจให้สงบ ตั้งสติและเปิดใจ ไม่ให้ความเครียดหรืออารมณ์ลบขัดขวางการฟัง นี่คือลำดับแรกของหลักการฟังที่ดี

เปิดรับสิ่งใหม่อย่างไม่มีอคติ

การฟังอย่างลึกซึ้งเริ่มต้นจากการไม่ตัดสิน ฟังด้วยใจที่ต้องการเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อหาข้อผิดพลาด หรือยืนยันความคิดของตนเอง

ใส่ใจกับปัจจุบัน

การฟังที่ดีต้องอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้สิ่งรบกวน เช่น มือถือ หรือความคิดฟุ้งซ่าน มาทำให้คุณพลาดการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ

แสดงออกถึงการฟังอย่างใส่ใจ

ภาษากายคือส่วนหนึ่งของ การฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ เช่น การพยักหน้า เอียงตัวเข้าหา หรือเปล่งเสียงตอบรับอย่างนุ่มนวล แสดงว่าคุณอยู่ตรงนั้นกับผู้พูดจริง ๆ

สร้างภาพในใจตามเรื่องที่ผู้พูดเล่า

Deep Listening คือการฟังที่ไม่ใช่แค่ฟังเนื้อความ แต่คือการเข้าใจเบื้องหลังอารมณ์และเจตนา ลองจินตนาการตามสถานการณ์จะช่วยเชื่อมโยงกับอีกฝ่ายได้ลึกยิ่งขึ้น

ฟังแบบไม่ติดกรอบความคิดเดิม

ปล่อยให้บทสนทนาไหลไปโดยไม่ใช้กรอบความคิดเดิม ๆ มาบังการรับรู้ เป็นการฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งที่ให้โอกาสคุณเข้าใจอีกฝ่ายในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน

สบตาผู้พูด แต่ไม่กดดัน

การฟังอย่างลึกซึ้งไม่ได้แค่ใช้หู แต่รวมถึงการใช้สายตา น้ำเสียง และพลังงานร่วม การสบตาอย่างผ่อนคลายคือการบอกว่า “คุณมีความสำคัญ และฉันพร้อมฟังคุณอยู่”

รอให้ผู้พูดพูดจบก่อนจึงค่อยตอบ

หนึ่งในหัวใจของหลักการฟังที่ดี คือการเคารพการสื่อสารของผู้อื่น อย่าขัดจังหวะหรือรีบตอบ แต่จงรอฟังให้จบ เพื่อเข้าใจภาพรวมก่อน

ถามเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

Deep Listening คือ การฟังที่มุ่งสู่ความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การฟังผ่าน ๆ การใช้คำถามปลายเปิดอย่างระมัดระวัง จะทำให้คุณเจาะลึกมุมมองและความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ดียิ่งขึ้น

สังเกตเมื่อใจลอย และดึงกลับมา

ทุกคนมีช่วงที่เผลอหลุดโฟกัส ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การตระหนักรู้และดึงตนเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันคือองค์ประกอบสำคัญของการฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ และนั่นคือทักษะที่ฝึกได้

การฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คุณเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น แต่ยังช่วยเยียวยา สร้างความไว้วางใจ และเสริมพลังให้กับทุกความสัมพันธ์อีกด้วย หากถามว่า การฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ มีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง คำตอบคือความตั้งใจเปิดใจรับฟังโดยไม่ตัดสิน การอยู่กับปัจจุบัน การสะท้อนความรู้สึก และการตอบสนองอย่างเห็นอกเห็นใจ ซึ่งทั้งหมดล้วนหลอมรวมอยู่ในแนวทางของ Deep Listening อย่างชัดเจน สร้างความไว้วางใจ และเสริมพลังให้กับทุกความสัมพันธ์

Deep Listening คือ ทักษะที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์และวัฒนธรรมองค์กร

Deep Listening คือ ทักษะที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสื่อสารส่วนบุคคล แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน การฟังอย่างลึกซึ้งช่วยให้เราเข้าใจความต้องการ ความรู้สึก และมุมมองของผู้อื่นได้ลึกกว่าเดิม ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างความไว้วางใจ ความร่วมมือ และการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก

ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วแต่ตื้นเขิน การฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งคือการลงทุนเพื่อความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน หากคุณคือองค์กรที่ต้องการปลดล็อกศักยภาพของทีมให้ดียิ่งขึ้น หรือต้องการสร้างผู้นำที่เข้าใจคน ไม่ใช่แค่จัดการงาน Disrupt Corporate Training Program ขอแนะนำหลักสูตรฝึกอบรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการพัฒนา Soft Skills เช่น Empathy, Communication และ Deep Listening ที่สามารถปรับใช้ได้ทันทีในชีวิตจริง

“เพราะ Deep Listening คือ จุดเริ่มต้นของทุกความเข้าใจอย่างแท้จริง”

นอกจากนี้ การฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งยังสามารถต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะอื่น เช่น ความเป็นผู้นำ การสื่อสาร การเจรจาต่อรอง และแม้กระทั่งการทำงานร่วมกันในองค์กร หากคุณกำลังมองหาหลักสูตรที่พัฒนาทักษะเหล่านี้อย่างครบถ้วน ขอแนะนำ Disrupt Corporate Success ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับทักษะ Soft Skills ให้กับบุคลากรในทุกระดับ

ติดต่อทีม Corporate Success เพื่อปรึกษาหลักสูตรและกิจกรรมได้ที่

ข้อมูลอ้างอิง

  • Haskell, R. E. (2008). Deep listening: Hidden meanings in everyday conversation. Information Age Publishing.
  • Stein, H. F. (2017). Listening deeply: An approach to understanding and consulting in organizational culture. University of Missouri Press.
Update ความรู้จาก Disrupt ได้ที่ช่องทาง